“บุ๋ม” ร้องตร.ล่ามือส่งต่อโป๊หน้าคล้าย

มูลนิธิปวีณา พา ”บุ๋ม-ปนัดดา” เข้าร้อง ปคม. กรณีถูกตัดต่อภาพลามกเผยแพร่ทางอินเทอร์เน็ต เจ้าตัวบอกครอบครัวได้รับความเสียหาย ยันไม่อยากดังสร้างกระแสเพราะเรื่องนี้ พร้อมเตือนคนฟอร์เวิร์ดผิดกฎหมายรับโทษร้ายแรง


14.00 น. 3 มี.ค. 53 ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ (ปคม.) นาง ปวีณา หงสกุล ประธานมูลนิธิปวีณา หงสกุล เพื่อเด็กและสตรี พร้อมกับ น.ส.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี หรือ บุ๋ม อดีตนางสาวไทย ดาราและพิธีกรชื่อดัง ได้เดินทางไปยังกองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับการค้ามนุษย์ เพื่อเข้าพบ พ.ต.อ.ศรายุทธ พูลธัญญะ รองผบก.ปคม. เพื่อแจ้งความร้องเรียนเพื่อให้ดำเนินคดีกับผู้ที่นำภาพของ น.ส.ปนัดดา เคยถ่ายแบบไว้กับนิตยสารฉบับหนึ่งไปโพสต์รวมกับภาพลามากอนาจารที่ตัดต่อแล้ว ส่งต่อผ่านช่องทางอีเมลเผยแพร่ภาพผ่านทางอินเทอร์เน็ต สร้างความเสื่อมเสียชื่อเสียงให้แก่อดีตนางสาวไทย รายนี้เป็นอย่างมาก โดย ”บุ๋ม-ปนัดดา” กล่าวกับเรื่องนี้หลังจากเข้าพบ พ.ต.อ.ศรายุทธ ว่า ขณะนี้มีคนผู้ไม่หวังดีปล่อยภาพของตนในลักษณะภาพอนาจารเผยแพร่ผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต ซึ่งภาพดังกล่าวที่มีการส่งต่อเป็นฟอร์เวิร์ดเมลนั้น เป็นภาพที่ตนเคยถ่ายแบบไว้ โดยนำภาพดังกล่าวมาประกอบกับภาพลามกอนาจารอีกจำนวน 3 ภาพ ซึ่งน่าจะทำการตัดต่อมาจากภาพยนตร์ลามก วันนี้ทางครอบครัวของตนได้รับความเดือดร้อน โดยเฉพาะบิดาของตนที่ไม่ต้องการจะให้ภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่อีก จึงเข้ามาเพื่อร้องเรียนในวันนี้

”ที่ บุ๋ม มาในวันนี้ก็อยากให้ทางเจ้าหน้าที่ตำรวจช่วยติดตามจับกุมผู้ที่นำภาพดังกล่าวมาส่งต่อ และขอให้ยุติการเผยแพร่ เพราะทำให้ตัว บุ๋ม เอง และครอบครัวที่ใช้นามสกุลวงศ์ ผู้ดี ได้รับความเสียหาย คุณพ่อของ บุ๋ม เองก็ทุกข์ตามกับ บุ๋ม ไปด้วย ก็อยากจะวิงวอนให้ผู้ที่ได้รับเมลดังกล่าวหยุดส่งต่อและลบทิ้งซะ เพราะไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำภาพดังกล่าวขึ้นมา หรือคนที่เผยแพร่ส่งต่อกันไป ล้วนมีความผิดเท่ากันทั้งสิ้น”

อดีตนางสาวไทยยังได้เล่าต่ออีกว่า ภาพดังกล่าวถูกเผยแพร่มาตั้งแต่ 5 ปีก่อน จนเมื่อเดือนมิถุนายน ปี 2552 ก็เคยเข้าแจ้งความที่ บก.ปดส. แต่ครั้งนั้นตนคิดว่าเรื่องดังกล่าวจะยุติไปเอง แต่กลับยังพบว่ามีการส่งต่อกันอยู่ในปัจจุบัน โดยตนและครอบครัวตั้งใจจะดำเนินการในเรื่องนี้ให้ถึงที่สุด

”ซึ่งถ้าถามว่ามีผลกระทบหรือเดือดร้อนมากแค่ไหน คือจริงๆ แล้ว บุ๋ม เห็นรูปเมื่อห้าปีที่แล้ว แล้วดูยังไงมันก็ไม่ใช่ฉัน ก็ไม่อยากมาพูดแถลงข่าว เพราะว่าถ้าออกมาเดี๋ยวคนก็จะบอกว่า โห รูปไม่เห็นเหมือนเลย อยากจะดังหรือไง ซึ่งเราก็ยังจะหนีข้อหานี้อยู่ แต่ว่าพอมาถึงตอนนี้มันกลับมาอีก ก็เลยมาแจ้งกับ คุณปวีณา ให้มาช่วยตรงนี้ ซึ่งเราก็ดำเนินการจับกุมมาอย่างเงียบๆ แล้ว จับได้แล้วแต่เขาก็ยังบอกว่าไม่ใช่ต้นตอ ซึ่งก็คงต้องปรึกษากับทางตำรวจว่าจะทำอะไรได้บ้าง และจริงๆ คือคุณพ่อกับคุณแม่ของ บุ๋ม ไม่พอใจและแย่มาก ถ้าเป็นไปได้ก็อยากให้ดำเนินการถึงที่สุด  เพราะว่าในชื่อเมลก็ใช้ชื่อจริง นามสกุลวงศ์ผู้ดี เต็มๆ เพื่อนๆ ก็โทร.มาถามเห็นหรือยัง ที่ออกมาก็อยากจะบอกว่าเลิกส่งต่อกันสะที ยิ่งออกมาแถลงข่าว บุ๋ม เชื่อว่าคนที่ยังไม่เห็นก็ต้องอยากเห็นว่าเป็นยังไง บอกได้เลยว่าวันนี้มีความผิด เพราะว่า บุ๋ม แจ้งความแล้วคนที่ส่งต่อมีความผิดเหมือนกัน ก็อยากจะหาต้นตอที่ส่งคะ ซึ่งอย่างที่บอกว่ามีการจับกุมมาได้ แต่ว่าเขาก็บอกว่าไม่ได้เป็นคนเริ่มเราก็ไม่ได้อะไร เห็นก็สงสาร ก็ไม่ได้อะไร จนมาถึงทุกวันนี้ซึ่งยังมีการส่งต่อก็อยากให้จบๆ ค่ะ”

โดยทาวด้าน พ.ต.อ.ศรายุทธ กล่าวว่า กรณีนี้ทางผู้เสียหายเคยมาร้องทุกข์ไว้แล้วเมื่อครั้งที่ยังเป็นหน่วย บก.ปดส. ซึ่งเดิมมีอำนาจการสืบสวนสอบสวน แต่ภายหลังที่หน่วยงานมีการเปลี่ยนแปลงตั้ง บก.ปคม. ตั้งแต่วันที่ 7 กันยายน 2552 จึงไม่มีอำนาจสอบสวน แต่ทาง บก.ปคม. ไม่ได้นิ่งดูดาย ได้ทำเรื่องไปยังกองบัญชาการตำรวจสอบสวนกลาง (บช.ก.) เพื่อขออนุมัติสอบสวนคดีนี้ต่อ เพราะผู้เสียหายเคยได้เข้ามาแจ้งความแล้วครั้งนึง สำหรับกรณีนี้เบื้องต้นรู้ตัวผู้ที่เป็นคนส่งฟอร์เวิร์ดเมลครั้งแรกแล้ว ซึ่งขณะนี้อยู่ในต่างจังหวัดและเชิญตัวมาสอบปากคำในฐานะพยานไว้ โดยยังไม่มีการพิจารณาขออนุมัติหมายจับผู้ใด แต่หากภายหลังพบการกระทำความผิดก็สามารถพิจารณาดำเนินคดีได้ ส่วนการสืบสวนไปให้ถึงต้นต่อของผู้ตัดต่อภาพและเป็นผู้เผยแพร่เป็นคนแรก ยังเป็นเรื่องยาก ต้องใช้เวลา

รอง ผบก.ปคม. กล่าวต่ออีกว่า อยากฝากเตือนไปยังผู้ที่มีภาพดังกล่าวในอีเมลแอดเดรสของตนเองว่า ขอให้ทำลายทิ้ง เพราะหากส่งต่อไปอีกก็มีความผิดเช่นเดียวกับผู้ที่เป็นคนเริ่มต้นส่ง และไม่สามารถอ้างได้ว่าตนไม่ได้เป็นผู้ตัดต่อหรือได้รับเมลมาจากใคร เพราะการส่งต่อไปอีกนั้นเป็นไปไม่ได้ที่ผู้อื่นจะส่งเพราะตนเองจะรู้รหัสผ่านหรือพาสเวิร์ดของตนเองผู้เดียวเท่านั้น จึงปฏิเสธไม่ได้ ทางกฎหมายถือว่ากระทำผิดกรรมเดียว และผิดกฎหมายหลายบท โดยเข้าข่ายกระทำความผิดข้อหา นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใดๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ และเผยแพร่หรือส่งต่อผู้อื่น ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ. 2550 มาตรา 14 (4), (5) และมาตรา 16 มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ นอกจากนี้ยังเข้าข่ายความผิดฐานหมิ่นประมาทด้วยการโฆษณาตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 118 ด้วย

ที่มาของข่าว: http://blog.eduzones.com/hakaff/44827

สรุปและวิเคราะห์ข่าว

จากการที่มีมือดี โพสรูปตัดต่อของคุณบุ๋ม  หรือน.ส.ปนัดดา วงศ์ผู้ดี  ในลักษณะภาพอนาจาร และเผยแพร่ผ่านช่องทางอินเทอร์เน็ต โดยการส่งต่อเป็นฟอร์เวิร์ดเมลนั้น ทำให้เกิดความเสียหายกับคุณบุ๋มมาก โดยเฉพาะครอบครัวของเธอที่ใช้นามสกุลวงศ์ ผู้ดี และคุณพ่อของคุณบุ๋มเองก็ทุกข์ไปกับบุ๋มด้วย เธอจึงตัดสินใจมาเข้าแจ้งความเพื่อให้ดำเนินคดีแก่ผู้กระทำผิดขั้นเด็ดขาด

ดังนั้นผู้กระทำความผิดไม่ว่าจะเป็นคนที่ทำภาพดังกล่าวขึ้นมา หรือคนที่เผยแพร่ส่งต่อกันไป ล้วนมีความผิดเท่ากันทั้งสิ้น ตาม พ.ร.บ.คอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 ดังนี้

มาตรา 14 ผู้ใดกระทำความผิดที่ระบุไว้ดังต่อไปนี้ ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินห้าปี หรือปรับไม่เกินหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

(1)นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ปลอมไม่ว่าทั้งหมดหรือบางส่วน หรือข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายแก่ผู้อื่นหรือประชาชน
(2) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์อันเป็นเท็จ โดยประการที่น่าจะเกิดความเสียหายต่อความมั่นคงของประเทศหรือก่อให้เกิดความ ตื่นตระหนกแก่ประชาชน
(3) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ อันเป็นความผิดเกี่ยวกับความมั่นคงแห่งราชอาณาจักรหรือความผิดเกี่ยวกับการ ก่อการร้ายตามประมวลกฎหมายอาญา
(4) นำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ใด ๆ ที่มีลักษณะอันลามกและข้อมูลคอมพิวเตอร์นั้นประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้
(5) เผยแพร่หรือส่งต่อซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยรู้อยู่แล้วว่าเป็นข้อมูลคอมพิวเตอร์ตาม (๑)(๒) (๓) หรือ (๔)

 

มาตรา 14 ผู้ใดนำเข้าสู่ระบบคอมพิวเตอร์ที่ประชาชนทั่วไปอาจเข้าถึงได้ซึ่งข้อมูลคอมพิวเตอร์ที่ปรากฏเป็นภาพของผู้อื่น และภาพนั้นเป็นภาพที่เกิดจากการสร้างขึ้น ตัดต่อ เติม หรือดัดแปลงด้วยวิธีการทางอิเล็กทรอนิกส์หรือวิธีการอื่นใด ทั้งนี้ โดยประการที่น่าจะทำให้ผู้อื่นนั้นเสียชื่อเสียง ถูกดูหมิ่น ถูกเกลียดชัง หรือได้รับความอับอาย ต้องระวางโทษจำคุกไม่เกินสามปี หรือปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ ถ้าการกระทำตามวรรคหนึ่ง เป็นการนำเข้าข้อมูลคอมพิวเตอร์โดยสุจริต ผู้กระทำไม่มีความผิด ความผิดตามวรรคหนึ่งเป็นความผิดอันยอมความได้ ถ้าผู้เสียหายในความผิดตามวรรคหนึ่งตายเสียก่อนร้องทุกข์ ให้บิดา มารดา คู่สมรส หรือ บุตรของผู้เสียหายร้องทุกข์ได้ และให้ถือว่าเป็นผู้เสียหาย

มีโทษจำคุกไม่เกิน 5 ปี ปรับไม่เกิน 5 แสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

ที่มาของพระราชบัญญัติว่าด้วยการกระทำผิดเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ พ.ศ.2550 :

กระทรวงเทคโนโลยีสารสนเทศและการสื่อสาร  http://www.mict.go.th/ewt_news.php?nid=333

ใส่ความเห็น